ในองค์กรหรือบริษัทที่ว่างจ้างพนักงานในยุคปัจจุบันนี่้ ต่างก็มองหาบุคคลากรที่มีขีดความสามารถที่มากกว่าเดิม การว่าจ้างพนักงานนั้น นอกจากประสบการณ์ในการทำงานแล้ว ต่างก็มองหาศักยภาพของบุคคลที่จะว่าจ้างด้วย
การเพิ่มคุณค่าในตัวเองของพนักงานนั้น ไม่เพียงแต่ในสายงานที่ตนเองรับผิดชอบเท่านั้น แต่พนักงานในตำแหน่งหน้าที่นั้นๆ ควรจะเพิ่มขีดความสามารถให้กับตัวเองในหลากหลายหน้าที่
หลายคนอาจจะมองว่า ก็องค์กรจ้างเรามาในตำแหน่งนี้ ให้ค่าจ้างเท่านี้ ทำไมเราต้องไปทำหน้าทีค่อื่นให้วุ่นวาย เพิ่มงานให้ตัวเองทำไม ความจริงก็ถูก แต่ทว่าในยุคปัจจุบัน ด้วยสภาพเศรษฐกิจและการแข่งขันที่สูงขึ้น
องค์กรเองก็มองว่า การจ้างงานพนักงานสักคนหนึ่ง ตัวเองเช่น จ้างพนักงานตำแหน่งพนักส่งออก องค์กรก็มองว่าจะรับคนที่มีความสามารถแค่เพียงส่งออกแค่นั้นหรือ? หรือควรจะจ้างคนที่สามารถทำตำแหน่งส่งออก พร้อมทั้งเขายังยินดีที่จำทำหน้าที่อื่น เช่นยื่นแบบฟอร์ม ยื่นต้นทุนได้ด้วยไม่ดีกว่าหรือ อีกทั้งคนที่มีขีดความสามารถมากและไม่เกี่ยงกับหน้าที่ที่องค์กรมอบหมายให้ทำนั้น มีความน่าสนใจในการว่าจ้างมากกว่าคนที่ทำได้เพียงหน้าที่เดียว
ประเด็นที่สำคัญก็คือว่า ถ้าหากวันหนึ่งองค์กรเกิดประสบปัญหาเศรษฐกิจไม่ดีและต้องเลือกพนักงานที่จำเป็นให้อยู่ในองค์กรนั้นๆ คนที่องค์กรจะกากบาทให้ออกจากองค์กรเป็นคนแรกๆก็น่าจะเป็นพนักงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบงานแค่เพียงอย่างเดียว โดยไม่สามารถรับผิดชอบหน้าที่อื่นที่มอบหมายให้ทำ หรือไม่มีความกระตือรือล้นที่อยากจะรับผิดชอบในหน้าที่อื่นๆ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ การเพิ่มคุณค่าในตัวเอง มันมีประโยชน์เสมอ ไม่เฉพาะกับองค์กรเอง แต่มีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับตัวของเราเอง ตราบใดที่เราเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าในการทำงานหรือในชีวิตของเราเอง ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใดๆ คนเหล่านี้จะสามารถยืนหยัดอยู่ได้โดยไม่เอนไหวไปกับสถานการณ์ปัจจุบันเลย